ความสะดวกสบาย ชาร์จได้ทุกเวลาที่ต้องการ
ประหยัดค่าใช้จ่าย ค่าไฟบ้านมักถูกกว่าการใช้บริการสถานีชาร์จสาธารณะ
ปลอดภัยกว่า เพราะอุปกรณ์ชาร์จมีมาตรฐานและระบบป้องกันไฟฟ้า
เพิ่มมูลค่าให้ทรัพย์สิน บ้านหรือโครงการที่มีที่ชาร์จรถ EV จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น
ที่ชาร์จแบบพกพา (Portable Charger)
ใช้งานง่าย เสียบปลั๊กไฟบ้านได้โดยตรง
เหมาะสำหรับพกติดรถเพื่อใช้งานในกรณีฉุกเฉิน
ใช้เวลาชาร์จนาน เหมาะกับการชาร์จชั่วคราว
ที่ชาร์จติดตั้งถาวร (Wallbox Charger)
นิยมติดตั้งในบ้าน คอนโด หรืออาคารสำนักงาน
มีกำลังชาร์จสูงกว่าแบบพกพา (เช่น 7kW–22kW)
มีระบบตัดไฟอัตโนมัติและการควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน
ที่ชาร์จเร็ว (Fast Charger / DC Charger)
ชาร์จได้รวดเร็วมาก เหมาะกับสถานีบริการสาธารณะหรือธุรกิจ
ใช้เวลาเพียง 30–60 นาทีต่อการชาร์จเต็ม
ต้องลงทุนสูงและใช้ระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อน
ตรวจสอบระบบไฟฟ้า
ควรให้วิศวกรหรือช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตมาตรวจสอบว่าบ้านหรือสถานที่สามารถรองรับการติดตั้งได้หรือไม่
เลือกกำลังไฟและรุ่นเครื่องชาร์จ
ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านนิยมใช้ Wallbox EV Charger ขนาด 7kW เพราะเพียงพอสำหรับการชาร์จข้ามคืน
กำหนดตำแหน่งติดตั้ง
ติดตั้งใกล้กับที่จอดรถ เดินสายไฟได้สะดวก ปลอดภัยจากความชื้นหรือน้ำท่วม
ติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ
ห้ามติดตั้งเองเด็ดขาด ควรใช้บริการจากบริษัทหรือตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับมาตรฐาน
ทดสอบระบบ
หลังติดตั้งเสร็จ ต้องมีการทดสอบระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ให้มั่นใจว่าปลอดภัยและใช้งานได้จริง
Wallbox Charger ราคาเริ่มต้น 20,000–60,000 บาท
Fast Charger เริ่มต้นตั้งแต่หลักแสนจนถึงหลักล้านบาท (เหมาะสำหรับธุรกิจ)
ค่าแรงติดตั้งและอุปกรณ์ไฟฟ้าเสริม ประมาณ 10,000–30,000 บาท
หากต้องอัพเกรดระบบไฟฟ้า เช่น เพิ่มมิเตอร์หรือหม้อแปลง อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ควรเลือกอุปกรณ์ที่ได้รับมาตรฐาน IEC, TIS หรือมาตรฐานสากลอื่น ๆ
ติดตั้งในพื้นที่ที่ไม่เสี่ยงน้ำท่วมหรือความชื้นสูง
ควรมี เบรกเกอร์ป้องกันไฟดูด (RCD) และระบบตัดไฟอัตโนมัติ
ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์เป็นประจำ
อิสระในการใช้งาน ไม่ต้องคอยหาสถานีชาร์จนอกบ้าน
เพิ่มความปลอดภัย ทั้งต่อรถและผู้ใช้งาน
ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
รองรับอนาคต เมื่อรถไฟฟ้ากลายเป็นมาตรฐานยานยนต์